การสื่อสารมวลชน ไม่ได้มีเพียงแค่การสื่อสารผ่านโทรทัศน์เท่านั้น หากแต่รวมทั้งการโฆษณา งานด้านวารสารศาสตร์ ทั้งหมดนี้เรียกว่าเป็ฯการสื่อสารมวลชนทั้งสิ้น
การสื่อสารแต่ละประเภทก็จะทำหน้าที่ในการสื่อความหมายที่แตกต่างกันออกไป สื่อโทรทัศน์จะมีการสื่อสารในรูปแบบขแงการพูด การแสดงท่าทางเพื่อให้คนที่รับชมเข้าใจ
การสื่อสาร ด้านโฆษณาจะเน้นการส้รางภาพลักณ์ความน่าเชื่อถือแกองค์กร ถือว่าเป็ฯการสื่อสารอีกรูปแบบหนึ่ง
การสื่อสารด้านวารสาร เป็นการสื่อสารที่แสดงผ่านตัวหนังสือ เพื่อให้ผู้อ่านได้เกิดจินตภาพตาม และอรรถรสในการอ่าน แต่การสื่แสารเช่นนี้ปัจจุบันเริ่มน้อยลง เพราะมีการสื่อสารรูปแบบใหม่ๆไม่ว่าจะเป็นโซเซียลมีเดีย ต่างๆที่เข้ามาแทนที่
ดังนั้นหากจะกล่าวถึงการสื่อสารมวลชน ผู้ที่ศึกษาควรจะมองให้กว้างและทำความเข้าใจเป็นอย่างดีเพื่อที่จะไม่ได้สื่อสารผิด ความประสงค์
ที่มา ปวีณรัตน์ เฟื่องสีไหม
สื่อสารมวลชน
วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555
การเขียนบทรายการเพื่อการสื่อสารทางวิทยุกระจายเสียง
ในบทเรียนนี้จะให้คำแนะนำการเขียนบทรายการเพื่อการสื่อสารทางวิทยุกระจายเสียง 5 ประเภท ได้แก่ การเขียนบทข่าววิทยุ การเขียนบทการรายงานพิเศษ การเขียนบทรายการสารัตถคดี การเขียนบทรายการเพลง และการเขียนบทรายการละครวิทยุ
4.1 การเขียนบทข่าววิทยุ
การเขียนข่าววิทยุ ในบทเรียนนี้จะนำเสนอ 2 ประเด็นหลัก คือ คำแนะนำการเขียน และตัวอย่างข่าววิทยุ
4.1.1 คำแนะนำการเขียนบทข่าววิทยุ มีข้อแนะนำ ดังนี้
1) การเขียนข่าววิทยุ นิยมเขียนข่าว 2 แบบ ได้แก่
1.1) แบบพีระมิดหัวกลับ (Inverted Pyramid) กล่าวคือ มีพาดหัวข่าว (Headline) ซึ่งมักใช้แบบนำประเด็นเด่นขึ้นพาดหัวด้วยถ้อยคำภาษากระชับรัดกุม สื่อความหายตรงไปตรงมา เน้นเนื้อหาไม่เน้นอารมณ์ ความรู้สึกซึ่งต่างจากการพาดหัวข่าวของหนังสือ ส่วนคำนำ (Lead) มักจะใช้วิธีสรุปสาระสำคัญ และเล่าเรื่องย่อ และส่วนเนื้อเรื่อง (Body) และแสดงรายละเอียดพอสังเขปของส่วนนำข่าว
1.2) แบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าทรงยืน กล่าวคือ มีดาพหัวข่าว (Headline) ซึ่งมักจะสรุปประเด็นสำคัญของข่าว ตามด้วยเนื้อเรื่อง(Body) รายละเอียดของข่าว จัดลำดับตามเหตุการณ์ และเข้าใจเรื่องได้ดี
2) การเขียนข่าววิทยุ เป็นการเขียนเพื่อจุดประสงค์การฟัง ดังนั้น ผู้เขียนข่าวต้องเขียนให้สมบูรณ์ทั้งในด้านเนื้อหา และการใช้ภาษา อีกทั้งต้องมีความชัดเจน เข้าใจง่าย ผู้ฟังต้องรู้ เข้าในข้อความทั้งหมดได้ในเวลาอันสั้น การเขียนข่าววิทยุจึงเน้นที่เนื้อหาสาระสำคัญ ไม่เน้นรายละเอียดปลีกย่อยมากนักนัก ไม่เน้นถ้อยคำแสดงความคิดเห็น ถ้อยคำแสดงอารมรณ์แต่อย่างใด
3) เมื่อผู้เขียนข่าวได้ข้อมูลสำหรับเขียนข่าวแล้ว ให้พิจารณาว่าจะเขียนข่าวแบบใด แบบพีระมิดหัวกลับ หรือแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าทรงยืน
กรณีที่เลือกเขียนข่าวแบบพีระมิดหัวกลับ ให้สรุปประเด็นข่าวเพื่อเขียนพาดหัว (Headline) ซึ่งมักจะใช้ประโยคสรุปประเด็นสำคัญของข่าว ต่อจากนั้นเขียนความนำข่าว (Lead) ซึ่งมักจะใช้ความนำข่าวแบบสรุป (Summary Lead) ต่อมาคือส่วนเนื้อเรื่อง (Body) อธิบายรายละเอียดของข่าวตามเนื้อหาในส่วนความนำ
กรณีที่เลือกเขียนข่าวแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าทรงยืน ให้สรุปประเด็นข่าวเพื่อเขียนพาดหัว (Headline) ซึ่งมักจะให้ประโยคสรุปประเด็นสำคัญของข่าว ต่อจากนั้นเขียนอธิบายรายละเอียดของข่าวเรียงลำดับตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความสำคัญของเนื้อหาข่าวจึงมีเท่า ๆ กันตั้งแต่ต้นจนจบข่าว แต่บางครั้งก็อาจจะเรียงเนื้อเรื่องตามความสำคัญ หากเวลาไม่พออาจจะตัดข่าวในส่วนท้ายออกไป
4) การใช้ภาษาเขียนข่าววิทยุใช้ภาษาเขียนระดับกึ่งทางการ จนถึงระดับทางการขึ้นอยู่กับประเภทของข่าว เช่น ข่าวในพระราชสำนัก ข่าวขององค์กรภาครัฐ จะใช้ภาษาเขียนระดับทางการ ส่วนข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวการศึกษา ข่าวการศาสนา จะใช้ภาษาเขียนระดับกึ่งทางการจนถึงระดับทางการ ส่วนข่าวอาชญากรรม ข่าวอุบัติเหตุ ข่าวเพลิงไหม้ ข่าวสังคม จะใช้ภาษาเขียนระดับกึ่งทางการ เป็นต้น โวหารที่ใช้เขียนข่าวจะใช้บรรยายโวหารเป็นหลัก
5) การผูกประโยคเพื่อเขียนข่าววิทยุ ควรเป็นประโยคสมบูรณ์ ไม่ละส่วนประกอบของประโยค เป็นประโยคความเดียวสั้น ๆ มีเนื้อหาสาระสำคัญเพียงประการเดียว ประโยคแต่ละประโยคมีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกันอย่างดี การเขียนต้องเว้นวรรคให้ชัดเจนเพื่ออ่านได้สะดวกและได้ความหมายที่ชัดเจน
6) การใช้ถ้อยคำควรใช้ถ้อยคำที่สื่อความตรงไปตรงมา ถ้อยคำภาษาง่าย ๆ หลีกเลี่ยงการใช้ศัพท์เทคนิคหรือคำพูดเฉพาะกลุ่ม หรือสำนวน หรือเล่นคารมโวหาร
7) กรณีมีอักษรย่อ คำย่อ ควรเขียนคำเต็มไว้ด้วยเพื่อให้อ่านได้ถูกต้อง เว้นแต่กรณีที่เป็นอักษรย่อ หรือคำย่อซึ่งเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปแล้ว เช่น กตร. (คณะกรรมการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ) ทูกเกล้าฯ (ทูลเกล้าทูลกระหม่อม) เป็นต้น
8) กรณีมีคำที่มักอ่านผิดปรากฏอยู่ ควรวงเล็บคำอ่านที่ถูกต้องไว้ด้วย เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มะหาวิดทะยาไลกะเสดสาด) วันอาสาฬหบูชา ๖อาสานหะบูชา)
9) กรณีมีชื่อบุคคล ควรกล่าวชื่อบุคคลนั้นซ้ำแทนการใช้บุรุษสรรพนาม เพราะหากผู้ฟังเพิ่งเปิดเครื่องรับวิทยุฟังข่าวจะได้ทราบข้อมูลได้ถูกต้อง
10) กรณีที่ใสข่าววิทยุมีการตัดตอนข้อความที่เป็นคำพูดของบุคคลมาแทรกไว้ในเนื้อข่าว (Body) ทั้งกรณีที่เปิดเสียงสัมภาษณ์จากแถบเสียงนำมาแทรกไว้ และกรณีให้ผู้อ่านข่าวเป็นผู้อ่านข้อความที่ตัดตอนมานั้น ผู้เขียนข่าวต้องระบุให้ชัดเจนว่าเป็นคำพูดของใคร เริ่มตั้งแต่ข้อความใดถึงข้อความใด ดังนั้น ก่อนเริ่มต้นคำพูดของผู้นั้น ให้เขียนไว้ชัดเจนว่า “นาย...ได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ไว้ว่า...” และเมื่อกล่าวข้อความนั้นจบ ให้กล่าวย้ำชื่อ นามสกุล อีกครั้งว่า “นี่แหละทัศนะของนาย...ต่อกรณี...”
11) หากข้อความใดที่ผู้เขียนข่าวต้องการให้ผู้อ่านข่าวเน้นควรขีดเส้นใต้ข้อความนั้น
12) การเว้นบรรทัดในบทข่าววิทยุ ควรเว้นบรรทัดห่างกว่าปกติเพื่อให้อ่านง่าย เช่นเดียวกับขนาดของตัวอักษร ควรพิมพ์ตัวอักษรขนาดใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย
13) การเขียนข่าววิทยุแต่ละเรื่องควรแยกหน้ากระดาษข่าว 1 เรื่อง ต่อ 1 หน้ากระดาษ หากเป็นข่าวยาวที่มีเนื้อหามากกว่า 1 หน้ากระดาษ ต้องทำลูกศรชี้ให้เห็นว่ายังมีหน้าต่อไป
14) เมื่อจบข่าวต้องเขียนคำว่า “จบข่าว” ไว้ด้วย
15) ข่าวแต่ละแผ่นไม่ควรเย็บติดกัน เพื่อสะดวกในการเปิดหน้าต่อไป
ความหมายและความสำคัญของการเขียน
ความหมายและความสำคัญของการเขียน
การเขียน หมายถึง การถ่ายทอดความรู้ ความรู้สึกนึกคิด เรื่องราว ตลอดจนประสบการณ์ต่างๆไปสู้ผู้อื่นโดยใช้ตัวอักษษเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอด
การเขียนเป็นวิธีการสื่อสารที่สำคัญในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด และประสบการณ์ เพื่อสื่อไปยังผู้รับได้อย่างกว้างไกล นอกจากนั้นการเขียนยังมีคุณค่าในการบันทึกเป็นข้อมูลหลักฐานให้ศึกษาได้ยาวนาน
.
จุดประสงค์ของการเขียน
การเขียนทั่วไปมีจุดประสงค์ดังนี้
01. เพื่อบอกเล่าเรื่องราว เช่น เหตุการณ์ ประสบการณ์ ประวัติ ฯลฯ
01. เพื่อบอกเล่าเรื่องราว เช่น เหตุการณ์ ประสบการณ์ ประวัติ ฯลฯ
02. เพื่ออธิบายความหรือคำ เช่น การออกกำลังกาย การทำอาหาร คำนิยามต่างๆ ฯลฯ
03. เพื่อโฆษณาจูงใจ เช่น โฆษณาสินค้า ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ ฯลฯ
04. เพื่อปลุกใจ เช่น บทความ สารคดี เพลงปลุกใจ ฯลฯ
05. เพื่อแสดงความคิดเห็น
06. เพื่อสร้างจินตนาการ เช่น เรื่องสั้น นิยาย นวนิยาย ฯลฯ
07. เพื่อล้อเลียน เช่น บทความการเมือง เศรษฐกิจ ฯลฯ
08. เพื่อประกาศแจ้งให้ทราบ เช่น ประกาศของทางราชการ ประกาศรับสมัครงาน ฯลฯ
09. เพื่อวิเคราะห์ เช่น การเขียนวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมือง วิเคราะห์วรรณกรรม ฯลฯ
10. เพื่อวิจารณ์ เช่น วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล วิจารณ์ภาพยนตร์ วิจารณ์หนังสือ ฯลฯ
11. เพื่อเสนอข่าวสารและเหตุการณ์ที่น่าสนใจ
12. เพื่อกิจธุระต่างๆ เช่น จดหมาย ธนาณัติ การกรอกแบบรายการ ฯลฯ
จุดประสงค์ของการเขียนคือสิ่งที่ผู้เขียนต้องคำนึงว่า ในการเขียนงานเขียนแต่ละครั้งนั้นต้องการเขียนเพื่อสื่อเรื่องใด โดยผู้เขียนต้องใช้ความรู้และประสบการณ์ รวมทั้งหลักการเขียนประกอบการเขียน เพื่อให้การเขียนเพื่อการสื่อสารนั้นๆบรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้
.
หลักการเขียน
เนื่องจากหลักการเขียนเป็นทักษะที่ต้องเอาใจใส่ฝึกฝนอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดความรู้ความชำนาญ และป้องกันความผิดพลาด ดังนั้น ผู้เขียนจึงจำเป็นต้องใช้หลักในการเขียน ดังต่อไปนี้
1. มีความถูกต้อง คือ ข้อมูลถูกต้อง ใช้ภาษาได้ถูกต้องเหมาะสมตามกาลเทศะ
2. มีความชัดเจน คือ ใช้คำที่มีความหมายชัดเจน รวมถึงประโยคและถ้อยคำสำนวน เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ตรงตามจุดประสงค์
3. มีความกระชับและเรียบง่าย คือ รู้จักเลือกใช้ถ้อยคำธรรมดาเข้าใจง่าย ไม่ฟุ่มเฟือย เพื่อให้ได้ใจความชัดเจน กระชับ ไม่ทำให้ผู้อ่านเกิดความเบื่อหน่าย
4. มีความประทับใจ โดยการใช้คำให้เกิดภาพพจน์ อารมณ์และความรู้สึกประทับใจ มีความหมายลึกซึ้งกินใจ ชวนติดตามให้อ่าน
5. มีความไพเราะทางภาษา คือ ใช้ภาษาสุภาพ มีความประณีตทั้งสำนวนภาษาและลักษณะเนื้อหา อ่านแล้วไม่รู้สึกขัดเขิน
6. มีความรับผิดชอบ คือ ต้องแสดงความคิดเห็นอย่างสมเหตุสมผล มุ่งให้เกิดความรู้และทัศนคติอันเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
นอกจากหลักการเขียนที่จำเป็นต่อการเขียนแล้ว สิ่งที่มีความจำเป็นอีกประการหนึ่งคือกระบวกการคิดกับกระบวนการเขียนที่จะต้องดำเนินควบคู่ไปกับหลักการเขียน เพื่อที่จะทำให้สามารถเขียนได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากหลักการเขียนที่จำเป็นต่อการเขียนแล้ว สิ่งที่มีความจำเป็นอีกประการหนึ่งคือกระบวกการคิดกับกระบวนการเขียนที่จะต้องดำเนินควบคู่ไปกับหลักการเขียน เพื่อที่จะทำให้สามารถเขียนได้ดียิ่งขึ้น
.
การเขียนเพื่องานประชาสัมพันธ์
หลักการเขียนเพื่อการประชาสัมพันธ์และสร้างภาพลักษณ์ การ ประชาสัมพันธ์ คือ การจัดการสื่อสารอย่างมีแผนขององค์กรหรือหน่วยงาน เพื่อให้สาธารณชน เกิดการรับรู้ เข้าใจ ยอมรับ ร่วมมือ และสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กร โดยมีจุดมุ่งหมายของการประชาสัมพันธ์ คือ 1) เกิดความรู้ ความเข้าใจ 2) เกิดทัศนคติที่ดี มีการยอมรับ และ 3)ให้ความร่วมมือและสนับสนุน
บทบาทการประชาสัมพันธ์ คือ เพื่อการบริหารจัดการ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ และเพื่อส่งเสริมตลาด
การเขียน เป็นกิจกรรมที่นักประชาสัมพันธ์ทุกคนควรมีทักษะอย่างสูง เนื่องจากเป็นกลไกสำคัญในการผลิตสารสำหรับสื่อทุกประเภทที่ใช้ในการประชา สัมพันธ์
การเขียน คือการถ่ายทอดความรู้สึก ความรู้ ความคิด ประสบการณ์ จินตนาการ ข่าวสาร โดยใช้ตัวหนังสือ และเครื่องหมายต่างๆ เป็นสัญลักษณ์ มีองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ เนื้อหา ภาษา และรูปแบบ
การเขียนเพื่อการประชาสัมพันธ์ มีวัตถุประสงค์ในการเขียน 5 รูปแบบ คือ
1. เขียนเพื่อบอกกล่าวให้เข้าใจ
2. เขียนเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี
3. เขียนเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด
4. เขียนเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิด
5. เขียนเพื่อให้เกิดการยอมรับ
กระบวนการเขียนเพื่อการประชาสัมพันธ์ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ
ขั้นการวางแผนก่อนการเขียน ได้แก่ การศึกษาวัตถุประสงค์ด้านการประชาสัมพันธ์ขององค์กร ศึกษาวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายในการประชาสัมพันธ์ ศึกษาสื่อที่จะใช้ และการกำหนดรูปแบบการเสนอเรื่อง หรือกำหนดโครงเรื่อง
ขั้นลงมือเขียน ต้องคำนึงถึง หลักการเขียน รูปแบบการเขียนเฉพาะอย่าง และศึกษาคุณสมบัติของงานเขียนที่ดี
ขั้นแก้ไขปรับปรุงงานเขียน คือ การแก้ไขรูปแบบการเขียน และพิจารณาภาพรวมของข้อเขียนทั้งหมด
การเขียนภาพลักษณ์ขององค์กร ภาพลักษณ์ คือ ภาพในความนึกคิด หรือในจิตใจ โดยเกิดจากความประทับใจที่ได้รับรู้ และรู้สึกต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นทั้งภาพทางบวก หรือทางลบก็ได้ โดยต้องสอดคล้องไปกับพันธกิจ วิสัยทัศน์ ขององค์กร
ดังนั้น การเขียนภาพลักษณ์ขององค์กร จึงต้องนำพันธกิจ และวิสัยทัศน์ ขององค์กรหรือหน่วยงานมาเขียนเป็นภาพลักษณ์ขององค์กรที่พึงประสงค์ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายขององค์กร เกิดความรู้สึก หรือความนึกคิดในสมองทันทีเมื่อได้ยินชื่อองค์กร
ทั้งนี้ ในการเขียนภาพลักษณ์ขององค์กร ต้องมีเหตุผลสนับสนุน ความเป็นไปได้จริงในการสร้างภาพลักษณ์องค์กร เช่น การเขียนภาพลักษณ์ของกรมปศุสัตว์
ภาพลักษณ์ของกรมปศุสัตว์ที่พึงประสงค์ให้เกิดความคิดของลูกค้า หรือผู้ติดต่อรับบริการ คือ กรมปศุสัตว์ เป็นองค์กรที่มุ่งมั่น ส่งเสริม และสนับสนุนการปศุสัตว์ไทยให้มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ เกิดความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและตลาดโลก
เหตุผลสนับสนุน คือ กรมปศุสัตว์มีความพร้อมในทุกๆ ด้าน เช่น งานด้านการวิจัยและพัฒนา ด้านองค์ความรู้ และเทคโนโลยีทันสมัยในการผลิตสินค้าปศุสัตว์ที่ได้คุณภาพและมาตรฐานสากล ด้านบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านการปศุสัตว์โดยเฉพาะ ด้านกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ด้านการบริหารและการจัดการองค์กรที่ครอบคลุมโดยมีหน่วยงานกระจายอยู่ทั่ว ประเทศ และตามด่านชายแดนระหว่างประเทศ ตลอดจน ด้านเครือข่ายองค์กรปศุสัตว์ที่มีเครือข่ายอยู่ทั่วประเทศ เป็นต้น
บทบาทการประชาสัมพันธ์ คือ เพื่อการบริหารจัดการ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ และเพื่อส่งเสริมตลาด
การเขียน เป็นกิจกรรมที่นักประชาสัมพันธ์ทุกคนควรมีทักษะอย่างสูง เนื่องจากเป็นกลไกสำคัญในการผลิตสารสำหรับสื่อทุกประเภทที่ใช้ในการประชา สัมพันธ์
การเขียน คือการถ่ายทอดความรู้สึก ความรู้ ความคิด ประสบการณ์ จินตนาการ ข่าวสาร โดยใช้ตัวหนังสือ และเครื่องหมายต่างๆ เป็นสัญลักษณ์ มีองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ เนื้อหา ภาษา และรูปแบบ
การเขียนเพื่อการประชาสัมพันธ์ มีวัตถุประสงค์ในการเขียน 5 รูปแบบ คือ
1. เขียนเพื่อบอกกล่าวให้เข้าใจ
2. เขียนเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี
3. เขียนเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด
4. เขียนเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิด
5. เขียนเพื่อให้เกิดการยอมรับ
กระบวนการเขียนเพื่อการประชาสัมพันธ์ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ
ขั้นการวางแผนก่อนการเขียน ได้แก่ การศึกษาวัตถุประสงค์ด้านการประชาสัมพันธ์ขององค์กร ศึกษาวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายในการประชาสัมพันธ์ ศึกษาสื่อที่จะใช้ และการกำหนดรูปแบบการเสนอเรื่อง หรือกำหนดโครงเรื่อง
ขั้นลงมือเขียน ต้องคำนึงถึง หลักการเขียน รูปแบบการเขียนเฉพาะอย่าง และศึกษาคุณสมบัติของงานเขียนที่ดี
ขั้นแก้ไขปรับปรุงงานเขียน คือ การแก้ไขรูปแบบการเขียน และพิจารณาภาพรวมของข้อเขียนทั้งหมด
การเขียนภาพลักษณ์ขององค์กร ภาพลักษณ์ คือ ภาพในความนึกคิด หรือในจิตใจ โดยเกิดจากความประทับใจที่ได้รับรู้ และรู้สึกต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นทั้งภาพทางบวก หรือทางลบก็ได้ โดยต้องสอดคล้องไปกับพันธกิจ วิสัยทัศน์ ขององค์กร
ดังนั้น การเขียนภาพลักษณ์ขององค์กร จึงต้องนำพันธกิจ และวิสัยทัศน์ ขององค์กรหรือหน่วยงานมาเขียนเป็นภาพลักษณ์ขององค์กรที่พึงประสงค์ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายขององค์กร เกิดความรู้สึก หรือความนึกคิดในสมองทันทีเมื่อได้ยินชื่อองค์กร
ทั้งนี้ ในการเขียนภาพลักษณ์ขององค์กร ต้องมีเหตุผลสนับสนุน ความเป็นไปได้จริงในการสร้างภาพลักษณ์องค์กร เช่น การเขียนภาพลักษณ์ของกรมปศุสัตว์
ภาพลักษณ์ของกรมปศุสัตว์ที่พึงประสงค์ให้เกิดความคิดของลูกค้า หรือผู้ติดต่อรับบริการ คือ กรมปศุสัตว์ เป็นองค์กรที่มุ่งมั่น ส่งเสริม และสนับสนุนการปศุสัตว์ไทยให้มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ เกิดความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและตลาดโลก
เหตุผลสนับสนุน คือ กรมปศุสัตว์มีความพร้อมในทุกๆ ด้าน เช่น งานด้านการวิจัยและพัฒนา ด้านองค์ความรู้ และเทคโนโลยีทันสมัยในการผลิตสินค้าปศุสัตว์ที่ได้คุณภาพและมาตรฐานสากล ด้านบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านการปศุสัตว์โดยเฉพาะ ด้านกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ด้านการบริหารและการจัดการองค์กรที่ครอบคลุมโดยมีหน่วยงานกระจายอยู่ทั่ว ประเทศ และตามด่านชายแดนระหว่างประเทศ ตลอดจน ด้านเครือข่ายองค์กรปศุสัตว์ที่มีเครือข่ายอยู่ทั่วประเทศ เป็นต้น
สื่อโฆษณา : การเขียนเพื่อการโฆษณา
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกับ 3 คำ ที่มีความหมายคล้ายคลึงกันก่อน
1. การโฆษณา Advertising คือ การนำเอาแนวความคิด สินค้า หรือบริการมาเสนอให้กับลูกค้า โดยใช้สื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง และระบุผู้ให้การสนับสนุนด้วย ในการนี้อาจมีค่าใช้จ่ายในการใช้สื่อแต่ละชนิดได้ การโฆษณานี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อแนะนำ หรือส่งเสริมการขายสินค้า หรือบริการนั้น ๆ2. การโฆษณาชวนเชื่อ Propaganda คือ การชักจูงหรือชักชวนให้มีความเห็นคล้อยตามหรือมีความเชื่อตามคำชักชวนนั้น ๆ โดยเนื้อหาอาจเป็นไปในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ได้
3. การประชาสัมพันธ์ Public Relation เป็นการสื่อสารแนวคิด ข้อเท็จจริง ระหว่างหน่วยงาน กับประชาชน มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเข้าใจและสัมพันธ์อันดีต่อกัน
แต่ในที่นี้ จะขอรวบรวมเอาเทคนิคในการเขียนโดยเฉพาะเนื้อหาของ “การเขียนเพื่อการโฆษณา”เท่านั้นเพราะเชื่อว่านักการตลาดหลายคนทีเดียว ที่ยังคงมีปัญหามากมายเหลือเกินกับการเขียนในลักษณะนี้ ในลำดับแรกของการเขียนเพื่อการโฆษณานี้ คุณควรรู้ถึงจุดมุ่งหมายของการเขียนในลักษณะนี้ก่อน
จุดมุ่งหมายของการเขียนเพื่อการโฆษณา การโฆษณามีจุดมุ่งหมายแตกต่างกันตามโอกาสและตามเวลาที่แตกต่างกัน
1. เพื่อเป็นการแนะนำให้รู้จักสินค้า และ/หรือ บริการใหม่ สำหรับกลุ่มเป้าหมายนั้น ๆ
2. เพื่อเป็นการให้ข่าวสาร ที่เกี่ยวกับลักษณะและคุณประโยชน์ของสินค้า และ/หรือบริการ
3. เพื่อสร้างแรงจูงใจ เร้าใจ หรือดึงดูดความสนใจ ให้เกิดกับสินค้า และ/หรือบริการ
4. เพื่อเน้นย้ำให้สินค้าหรือบริการนั้น อยู่ในความทรงจำของลูกค้าตลอดไป
5. เพื่อเป็นการเอาชนะคู่แข่งทางการค้าประเภทเดียวกัน
6. เพื่อสร้างความเชื่อถือและศรัทธา ให้เป็นที่ยอมรับ อันจะส่งผลถึงยอดจำหน่าย
7. เพื่อส่งเสริมการใช้สินค้าหรือบริการให้มากยิ่งขึ้น อันจะส่งผลถึงการขยายตลาดสินค้าหรือบริการ ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
การเขียนข้อความโฆษณา หมายถึง ส่วนประกอบทุกอย่างที่ประกอบกันขึ้นเป็นชิ้นงานโฆษณา เช่น ข้อความที่ใช้ , สัญลักษณ์ , รูปภาพ , เส้นกรอบ , เส้นประดับทั้งหมด ที่ปรากฏอยู่ในส่วนของการโฆษณา โดยส่วนต่าง ๆ นั้นต้องสร้างความน่าสนใจ ดึงดูดใจ หรือทำให้เกิดความต้องการได้
1. การเขียนเพื่อดึงดูดความสนใจ Attention ควรใช้ข้อความที่สั้น กะทัดรัด ได้ใจความ และอยากติดตามต่อ ใช้เป็นส่วนแรกของการโฆษณา เช่น
- “ ความเหมือนที่แตกต่าง...โรงพยาบาลxxxx ”
- “ วันนี้ ผู้หญิงไทยสามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้แล้ว ”
สิ่งเหล่านี้เราเรียกว่า “ หัวเรื่อง ” หรือ Headline ซึ่งจะทำหน้าที่ดึงดูดความสนใจ โดยจะมีทั้งหัวเรื่องที่ให้ข่าวสาร หรือหัวเรื่องที่บ่งบอกถึงคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์ หัวเรื่องจะทำให้ผู้รับสารอยากรู้อยากเห็น และหรืออาจเกิดความสงสัยในข้อมูลจนอยากติดตามต่อได้เช่นกัน
หัวเรื่องที่ดีควรมีลักษณะ ดังนี้
1. เนื้อหาต้องสามารถเร้าให้เกิดความสนใจต่อผู้พบเห็น จนต้องหยุดอ่าน หยุดดู หรือฟัง
2. ควรใช้ข้อความหรือรูปภาพที่ดึงดูดใจได้ดี
3. ภาษาที่ใช้ต้องเข้าใจได้โดยง่าย ตรงประเด็น
4. หัวเรื่องควรเป็นประโยคที่สั้นกะทัดรัด
5. ควรออกแบบข้อความและรูปประกอบให้เหมาะสมกับระดับของกลุ่มเป้าหมาย
2. การเขียนเพื่อให้เกิดการกระทำ
Action นี่เป็นส่วนท้ายของการโฆษณา เพื่อให้เกิดความง่ายแก่การจดจำ โดยจะเป็นความพยายามที่จะกระตุ้น เร้าใจ ให้กลุ่มเป้าหมายที่มุ่งหวังไว้ แสดงพฤติกรรมในการซื้อผลิตภัณฑ์ หรือใช้บริการ ส่วนใหญ่นิยมใช้เป็นคำขวัญ Slogan เช่น
- “ โรงพยาบาลxxxx เราอยากให้คุณ มีสุขภาพดี”- “ เราดูแลชีวิตคุณ เท่ากับดูแลชีวิตเรา โรงพยาบาลxxxxx”
การเขียนจริง ๆ แล้วมีหลายลักษณะ เช่น การเขียนสปอตโฆษณา , การเขียนข่าว , การเขียนสุนทรพจน์ , การเขียนบทความ ฯลฯ ซึ่งพื้นฐานหลักของนักเขียนที่ดี ( ถึงแม้ไม่ได้เรียนจบมาโดยตรง ) นั้นคือ “ต้องรู้ลึก ในเรื่องนั้นจริงๆ”
นิตยสารและวารสาร
นิตยสารและวารสาร หมายถึง สื่อสิ่งพิมพ์ที่เจาะกลุ่มเป้าหมายเพื่อตอบสนองความต้องการ เฉพาะกลุ่มประชากร หรือกลุ่มผู้บริโภคได้ดีกว่าหนังสือพิมพ์ และมีความสำคัญในด้าน
การให้ข้อมูลข่าวสารเชิงลึกและสาระบันเทิงที่หลากหลาย เป็นสื่อสิ่งพิมพ์รายคาบออกเป็นประจำ สัปดาห์ รายเดือน หรือรายอื่น ๆ ส่วนมากเย็บเล่ม ดังที่กล่าวมาแล้วว่า นิตยสารและวารสารมีลักษณะใกล้เคียงกันมาก และมีการจัดพิมพ์ ที่ไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก นอกจากเนื้อหาที่เน้นจุดสนใจต่างกันดังกล่าวมาแล้ว คือ เนื้อหา ของวารสารมีวัตถุประสงค์ที่ผู้อ่านเฉพาะกลุ่ม ซึ่งอาจจัดเป็นนิตยสารเฉพาะกลุ่มประเภทหนึ่งก็ได้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันในที่นี้ จึงขอใช้คำว่านิตยสารในความหมายของนิตยสารและวารสาร
7. นิตยสารหลายฉบับจะเสนอเนื้อหาข่าวในเล่มด้วยแต่ส่วนมากจะเป็นการสรุปข่าว หรือวิจารณ์ข่าว
http://www.ipesp.ac.th/learning/thai/chapter8-6.html
การให้ข้อมูลข่าวสารเชิงลึกและสาระบันเทิงที่หลากหลาย เป็นสื่อสิ่งพิมพ์รายคาบออกเป็นประจำ สัปดาห์ รายเดือน หรือรายอื่น ๆ ส่วนมากเย็บเล่ม ดังที่กล่าวมาแล้วว่า นิตยสารและวารสารมีลักษณะใกล้เคียงกันมาก และมีการจัดพิมพ์ ที่ไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก นอกจากเนื้อหาที่เน้นจุดสนใจต่างกันดังกล่าวมาแล้ว คือ เนื้อหา ของวารสารมีวัตถุประสงค์ที่ผู้อ่านเฉพาะกลุ่ม ซึ่งอาจจัดเป็นนิตยสารเฉพาะกลุ่มประเภทหนึ่งก็ได้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันในที่นี้ จึงขอใช้คำว่านิตยสารในความหมายของนิตยสารและวารสาร
แนวโน้มของนิตยสารในปัจจุบันมุ่งดึงดูดผู้อ่านเฉพาะกลุ่มเพิ่มขึ้น เนื้อหาของนิตยสารจึงค่อนข้างจะเน้นเฉพาะ ด้านมากขึ้น แต่อย่างไรก็ดี ลักษณะความหลากหลายของข้อเขียน หรือคอลัมน์ในนิตยสาร ยังแสดงให้เห็นความแตกต่าง ของนิตยสารจาก ลักษณะหนังสือทั่วไปที่จะมีเนื้อหาเป็นเรื่อง เดียวกันทั้งเล่มได้ ลักษณะเด่นของ นิตยสารที่แตกต่างไปจากหนังสือทั่วไป คือ |
1. นิตยสารจะเน้นในการเสนอบทความสารคดี และข้อเขียนต่าง ๆ ที่ให้ความรู้และความบันเทิง กับผู้อ่านได้มากกว่า และละเอียดกว่า 2. นิตยสารมีโฆษณาที่สวยสะดุดตากว่า 3. นิตยสารมีการจัดหน้าที่สวยงามและพิถีพิถันมากกว่า 4. นิตยสารมีรูปเล่มกะทัดรัดหยิบถือได้สะดวกกว่า 5. ปกนิตยสารจะมีขนาดประมาณ 8 1/2 คูณ 1 11/2 นิ้ว หรือขนาด A4 หรือ 8 หน้ายก บางฉบับก็มีขนาดใหญ่เท่ากับ หนังสือพิมพ์ขนาดเล็ก (tabloid) แต่บางเล่มก็เล็กเกือบพอ ๆกับหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊ก 6. นิตยสารส่วนใหญ่จะมีปกที่พิมพ์ด้วยกระดาษหนากว่าหน้าข้างใน ปกจะมีสีสัน และรูปภาพสวยงามสะดุดตาเย็บรวมกับเนื้อใน ส่วนความหนาหรือจำนวนหน้าของนิตยสารนั้น ไม่แน่นอน |
ที่มา |
การเขียนข่าวเพื่อการสื่อสาร
การใช้ภาษาข่าวในหนังสือพิมพ์
การใช้ภาษาในหนังสือพิมพ์มีลักษณะแตกต่างจากภาษามาตรฐานอยู่บ้างในด้านของการเสนอ ข่าวโดยเฉพาะ ข่าวหน้าหนึ่ง ซึ่งพอจะสรุปลักษณะสำคัญในการใช้ภาษาได้ดังนี้
1. ใช้ถ้อยคำง่าย ๆ เรียบเรียงถ้อยคำกระชับ รัดกุม สะดุดตา
2. ใช้ถ้อยคำแปลก ๆ เรียกร้องความสนใจ
3. ไม่เคร่งครัดการสะกดการันต์และการใช้ลักษณนาม
4. ใช้เครื่องหมายต่าง ๆ เพื่อเน้นความหมายของคำ
5. นิยมใช้คำคะนอง ศัพท์แสลงและอักษรย่อ
6. ใช้คำโดยแปลกความหมาย ไม่คำนึงถึงความหมายเดิม
7. ใช้คำผิดความหมาย และใช้คำฟุ่มเฟือย
8. ใช้คำโดยไม่คำนึงถึงระบบของภาษา และหน้าที่ของคำ
9. นิยมใช้คำสำนวนต่างประเทศ
10. ไม่เคร่งครัดแบบแผนของประโยค มักละประธานและคำขยาย
http://www.ipesp.ac.th/learning/thai/chapter8-6.html
การใช้ภาษาในหนังสือพิมพ์มีลักษณะแตกต่างจากภาษามาตรฐานอยู่บ้างในด้านของการเสนอ ข่าวโดยเฉพาะ ข่าวหน้าหนึ่ง ซึ่งพอจะสรุปลักษณะสำคัญในการใช้ภาษาได้ดังนี้
1. ใช้ถ้อยคำง่าย ๆ เรียบเรียงถ้อยคำกระชับ รัดกุม สะดุดตา
2. ใช้ถ้อยคำแปลก ๆ เรียกร้องความสนใจ
3. ไม่เคร่งครัดการสะกดการันต์และการใช้ลักษณนาม
4. ใช้เครื่องหมายต่าง ๆ เพื่อเน้นความหมายของคำ
5. นิยมใช้คำคะนอง ศัพท์แสลงและอักษรย่อ
6. ใช้คำโดยแปลกความหมาย ไม่คำนึงถึงความหมายเดิม
7. ใช้คำผิดความหมาย และใช้คำฟุ่มเฟือย
8. ใช้คำโดยไม่คำนึงถึงระบบของภาษา และหน้าที่ของคำ
9. นิยมใช้คำสำนวนต่างประเทศ
10. ไม่เคร่งครัดแบบแผนของประโยค มักละประธานและคำขยาย
http://www.ipesp.ac.th/learning/thai/chapter8-6.html
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)


